วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556




การ์ตูนให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์

 
 :  ฉันชื่อน้ำหวานนะ เธอชื่ออะไร


 : ฉันชื่อส้ม ยินดีที่ได้รู้จัก เธอมีอะไรให้ฉันช่วยไหม

:  พอดีฉันกำลังทำรายงานเกี่ยวกับโรคเอดส์ เธอพอที่จะบอกฉันได้ไหมว่าโรคเอดส์ คืออะไร?


:  ที่ฉันพอรู้มามันคือโรคเอดส์เป็นโรคที่เกิดจากไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า   ไวรัสเอดส์  หรือมีชื่อภาษาอังกฤษว่า  HIV  (เอช-ไอ-วี)  ซึ่งย่อมาจาก Human immunodeficiency Virus   เมื่อไวรัสเอดส์เข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปภายในเซลล์บางชนิดของร่างกาย  จะมีการฟักตัวระยะหนึ่งซึ่งอาจนานเป็นปีหรือนานกว่า 10 ปี  โดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ  ต่อมาไวรัสจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย  จนสามารถทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกายให้เสื่อมหรือเสียไปเรื่อยๆ  ผู้ป่วยจึงมักมีการติดเชื้อโรคต่างๆได้ง่าย  ในที่สุดร่างกายก็ไม่สามารถทนทานได้  และจะเสียชีวิตในที่สุ

 : แล้วมันมีอาการยังไงบ้างล่ะ

: อืม.....น่าจะมีอาการ

  • ท้องเสียเรื้อรังมากกว่า 1 เดือน
  • มีไข้นานเกินกว่า 1 เดือน
  • มีการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนล่างอย่างเรื้อรัง หรือเป็นรุนแรง
  • มีต่อมน้ำเหลืองโตทั่วไป หรือมีตับ ม้ามโต
  • มีการติดเชื้อรา เป็นฝ้าขาวในปากและคอ
  • ไอเรื้อรัง
  • มีผื่นที่ผิวหนังทั่วตัว
  • น้ำหนักลด


: แล้วโรคเอดมีอยู่กี่ระยะล่ะ?

: ฉันคิดว่า...น่าจะมีอยู่ 3 ระยะ


: จ๊ะจ๊ะ แล้วการป้องกันโรคเอดส์มีว่าอย่างไรบ้างล่ะ

: อืม...เนื่องจากโรคเอดส์สามารถติดต่อโดยทางหลักๆคือการมีเพศสัมพันธุ์กับผู้ติดเชื้อ ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุด คือการรักเดียวใจเดียว และต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์  และหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น แปรงสีฟัน มีดโกนหนวด เป็นต้น สำหรับ คู่สามีภรรยาที่ติดเชื้อควรกำเนิด และแม่ที่ติดเชื้อเอดส์ ไม่ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และต้องได้รับยาต้านไวรัสทุกราย

: ฉันขอบคุณเธอมากๆเลยนะ ฉันได้ข้อมูลจากเธอตั้งหลายอย่าง ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกได้นะ


: จ๊ะจ๊ะ ถ้ามีเวลาว่างก็แวะมาทักทายด้วยนะ

   


คำขวัญวันเอดส์โลกภาษาไทย , คำขวัญวันเอดส์โลกภาษาอังกฤษ


  • Communication about AIDS
    เอดส์ป้องกันได้ หากร่วมใจกันทั่วโลก
  • Importance of Youth in the AIDS Epidemic
    เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ช่วยผู้ตกเป็นเหยื่อเอดส์
  • Women are the Key to achieving health for all
    สุขภาพดีไม่มีเอดส์ สตรีเพศเป็นแกนนำ
  • Sharing the Challenge
    ร่วมมือ ร่วมใจ ต้านภัยเอดส์
  • AIDS : A Community Commitment
    เอดส์เป็นปัญหาของทุกคน ประชาชนต้องร่วมแก้ไข
  • Time to Act
    จริงจัง จริงใจ ขจัดภัยเอดส์
  • AIDS and the Family : Family Takes Care
    ครอบครัวทั่วไทย ห่วงใยปัญหาเอดส์ ไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือ
  • Share Right , Share Responsibility
    เคารพสิทธิ์ รับผิดชอบ มอบน้ำใจ สังคมไทยปลอดเอดส์
  • One World , One Hope
    โลกนี้ยังมีหวัง รวมพลังหยุดยั้งเอดส์
  • Children Living in a world with AIDS
    สร้างสรรค์โลกใหม่ ให้เด็กไทยไร้เอดส์
  • Force for change world Aids campain with young people
    คนรุ่นใหม่ ร้อยใจ รวมพลัง หยุดยั้งเอดส์
  • Listen , Learn , Live
    รู้เขา รู้เรา รู้เท่าทันเอดส์
  • Men make a difference
    เอดส์ลดหรือเพิ่ม เริ่มที่ผู้ชาย
  • I care….Do you?
    เอดส์ลดแน่ ถ้าคุณร่วมแก้ไข
  • Stigma and Discrimination - Live and Let Live
    ทุกชีวิตมีคุณค่า โปรดอย่าตัดสินด้วยเอดส์
  • Stigma and Discrimination - Live and Let Live
    ทุกชีวิตมีคุณค่า โปรดอย่าตัดสินด้วยเอดส์
  • Woman, girls, HIV and AIDS
    เยาวชนรุ่นใหม่… เข้าใจเรื่องเพศ…ร่วมป้องกันเอดส์
  • Stop AIDS Keep the promiss
    เอดส์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา
  • Stop AIDS Keep the promiss
    เอดส์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา
  • Stop AIDS Keep the promiss
    เอดส์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา
  • Stop AIDS Keep the promiss
    เอดส์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา


1 ธันวาคม วันเอดส์โลก


วันเอดส์โลก





 โรคเอดส์นับได้ว่าเป็นโรคที่มีความรุนแรงมากโรคหนึ่ง แม้กระทั่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถคิดค้นยามารักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์ให้หายขาดได้ และโรคเอดส์ก็เป็นโรคที่คร่าชีวิตมนุษยชาติไปมากที่สุด อีกโรคหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้องค์การอนามัยโลกต้องหาทางรณรงค์เพื่อให้ประเทศต่างๆ ได้ตระหนักถึงอันตรายของโรคนี้ โดยการกำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 

          กระบวนการของโรคเอดส์นั้นเกิดจากเชื้อเอชไอวี (HIV: Human Immunodeficiency Virus) จะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ให้ร่างกาย จนเราเป็นโรคเอดส์ (AIDS: Acquired Immunodeficiency Syndrome) คือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกเชื้อเอชไอวีทำให้อ่อนแอลง จนถึงขั้นที่ร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคต่างๆ ได้อีก ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น มะเร็ง เป็นต้น 

          ซึ่งการที่จะได้รับเชื้อเอชไอวีหรือที่เราเรียกจนติดปากว่าติดเอดส์นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะติดกันได้ง่ายๆ ในการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้นการที่จะติดได้ต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่างนี้ จึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับเชื้อ ได้แก่ 

          - ต้องได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย โดยต้องมาจากแหล่งที่มีปริมาณเชื้อมากพอที่จะทำให้ติด ได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด 

          - เชื้อที่จะทำให้ติดต่อได้นอกจากเรื่องปริมาณแล้วเชื้อต้องมีคุณภาพและแข็งแรง เช่น ในเลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด รวมทั้งต้องมีอาหารและมีสภาพที่พอเหมาะที่จะทำให้เชื้อเติบโตได้ แต่ถ้าไปอยู่ในน้ำลาย น้ำตา เชื้อไวรัสจะอยู่ในสภาพที่เป็นกรด เป็นด่าง ทำให้มันไม่แข็งแรง ไม่มีคุณภาพ เติบโตไม่ได้ หมดความสามารถที่จะทำให้ติดต่อได้ 

          - ต้องเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการสัมผัสส่งต่อเชื้อได้โดยตรง เช่น การใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกัน หรือการร่วมเพศ ซึ่งเป็นการส่งต่อเชื้อกันโดยตรง โดยในกรณีการร่วมเพศ ถ้าฝ่ายชายมีเชื้ออยู่เชื้ออาจจะผ่านเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุช่องคลอด หรือถ้าผู้หญิงมีเชื้ออยู่เชื้ออาจจะผ่านเข้าสู่ร่างกายทางปลายเปิดขององคชาติ 

          โดยโรคเอดส์นั้นเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี พ.ศ. 2424 ซึ่งก่อตัวขึ้นในบางส่วนของโลกเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีการตรวจพบโรคนี้ทั่วโลก ส่วนในประเทศไทยได้รับการตรวจพบโรคเอดส์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2527 และก็ได้มีจำนวนผู้ป่วยที่ติดโรคเอดส์เพิ่มอัตราขึ้นอย่างรวดเร็วจนได้แพร่ไปสู่ผู้คนทุกเพศทุกวัย โดยปัจจุบันกลุ่มที่เสี่ยงคงหนีไม่พ้นกลุ่มวัยรุ่นที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร อีกทั้งยังไม่รู้จักการป้องกันที่ถูกวิธี แถมยังมีพฤติกรรมการเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ ซึ่งน่าเป็นห่วงยิ่งนัก 

          ขณะที่สถาการณ์โรคเอดส์ทั่วโลกนั้นก็ไม่ได้มีทีท่าจะลดลงเลยหากแต่จะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน จากข้อมูลของยูเอ็นเอดส์ระบุว่ามีผู้หญิงติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มมากขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก ซึ่งผู้หญิงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 56 โดยที่ทวีปเอเชียยังมีอัตราเพิ่มของผู้ติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 50 ของผู้ติดเชื้อทั่วโลก ประเทศที่มีอัตราการได้รับเชื้อเพื่อในอันดับต้นๆ ได้แก่ จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย และเวียดนาม 

          ดังนั้นเป้าหมายของวันเอดส์โลกก็เพื่อให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการป่วยเป็นโรคนี้ และพยายามหามาตรการเพื่อป้องกันและหยุดยั้งโรคเอดส์ให้เป็นผลสำเร็จ โดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ 

          - เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์ 

          - เพื่อสร้างเสริมและสนับสนุนให้มีมาตรการการป้องกันให้มากยิ่งขึ้นในสังคมทุกระดับ 

          - เพื่อให้มีการจัดกิจกรรมต่อต้านต่างๆ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง 

          - เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ 

          - เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น 

          สัญลักษณ์ของวันเอดส์โลกที่ใช้กันทั่วโลกก็คือ โบว์สีแดง เพื่อแสดงถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีกับผู้ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเอดส์ทั้งหลาย โดยวันเอดส์โลกนั้นถูกบริหารโดยยูเอ็นเอดส์ (UNAIDS) ก่อนที่ในปี ค.ศ. 2005 จะถูกส่งต่อให้กับองค์กรอิสระที่รู้จักกันในนาม The World AIDS Campaign ใช้ชื่อย่อว่า WAC มีสโลแกนว่า Stop AIDS: Keep the Promise 

          ซึ่งวันเอดส์โลกในปีนี้มีธีมว่า "leadership" เพื่อเน้นถึงความต้องการทางนวัตกรรม, วิสัยทัศน์ และความพยายามในการเผชิญหน้ากับความท้าทาย โดยการเรียกร้องความช่วยเหลือจากทุกส่วนของสังคม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว, ชุมชน หรือองค์กรทางสังคมต่างๆ ไม่ใช่แค่เพียงจากรัฐเท่านั้น เพื่อริเริ่มและแสดงความเป็นกล้าในการต่อสู้กับเอดส์    

          เอดส์นั้นอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คุณคิด หากไม่ช่วยกันเสียแต่วันนี้ วันหน้าก็อาจจะสายเกินไป 



ข้อมูลจาก 

www.avert.org 

การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร

หมวด: บทเรียน
เขียนโดย Webmaster

          ในปัจจุบันสังคมของประเทศก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ข้อมูลข่าวสารของโลกสมัยใหม่แพร่กระจายสู่สังคมต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกได้ครอบงำวิถีชีวิตของวัยรุ่นไทยจำนวนไม่ น้อยทั้งในด้านการรับประทานอาหารฟาสท์ฟูด การแต่งกาย การคบเพื่อนต่างเพศ สังคมของวัยรุ่นไทยกลายเป็นสังคมบริโภคที่แทบจะไม่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ
          เด็กและเยาวชนถือเป็นกำลังสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต  แต่ในสภาพสังคมไทยปัจจุบันมีปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลกระทบที่เป็นปัญหาและ อุปสรรคต่อการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของเด็กและเยาวชนไทย  พฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นในปัจจุบันนี้ ออกนอกกรอบดั้งเดิมมากขึ้นทุกที เช่น การเลือกคู่ครอง จะถือเอา ความรัก เป็นสำคัญ ไม่ชอบการคลุมถุงชน การคบเพื่อนต่างเพศ เป็นไปอย่างอิสระเสรี เพราะเห็นว่า ไม่ใช่เรื่อง น่าละอาย หญิงสาวให้ความสำคัญในการครองตัว เป็นหญิงพรหมจรรย์ถึงวันแต่งงานน้อยลง ประกอบกับ ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องในเรืองเพศ ทำให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม เช่น การมี เพศสัมพันธ์ ก่อนวัยอันควร การสำส่อนทางเพศ การเบี่ยงเบนทางเพศ เช่นการรักร่วมเพศ เป็นต้น และเกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น การเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ และปัญหาการทำแท้ง

ผลของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร

วัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรมักไม่ได้คิดถึงผลที่จะเกิดตามมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่สำคัญ ได้แก่
1.  การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ในช่วงวัยรุ่นการเจริญเติบโตและความสมบูรณ์ทางร่างกายทำให้เกิดความพร้อม ทางภาวการณ์เจริญพันธุ์สูงมาก ดังนั้น เมื่อมีเพศสัมพันธ์จึงทำให้มีโอกาสให้กำเนิดชีวิตใหม่ หรือการตั้งครรภ์ก็มีสูงมากด้วย  การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ของวัยรุ่น เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เป็นการตั้งครรภ์ใน ขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน จึงก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างมากทั้งทางด้านครอบครัว เศรษฐกิจ และสังคม และปัญหาการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์นี้ส่งผลกระทบต่ออนาคตของวัยรุ่นอย่างมากด้วย

ลักษณะของปัญหาจากการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์มีดังนี

1.1 ฝ่ายหญิงที่เป็นฝ่ายที่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่  เมื่อตั้งครรภ์ขึ้นมาก็ไม่อาจศึกษาเล่าเรียนต่อไปได้ ทำให้ต้องออกจากการศึกษากลางคัน ซึ่งก็หมายถึงอนาคตการเรียนก็หมดไปอย่างสิ้นเชิงบางรายเมื่อ ตั้งครรภ์ก็ไม่กล้าบอกพ่อแม่ ผู้ปกครองทราบแต่ก็ไม่สามารถปกปิดได้ตลอดไป จึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านไป เผชิญชีวิตด้วยตนเอง เมื่อคลอดลูกก็จะเกิดปัญหาตามมามากมาย โดยเฉพะาปัญหาทางเศรษฐกิจและปัญหาสังคม

1.2 ในบางกรณีตัดสินใจทำแท้งเพื่อยุติการตั้งครรภ์โดยหวังว่าเมื่อไม่ตั้งครรภ์แล้วจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตและศึกษาเล่าเรียนได้ตามปกติ ในความเป็นจริงแล้วการทำแท้งเป็นเรื่องที่ผิดทั้งทางด้านศีลธรรม กฎหมาย และค่านิยมของสังคม และที่สำคัญที่สุดคือ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพ ในบางรายที่ทำแท้งโดยผู้ทำไม่ใช่แพทย์อาจเป็น อันตรายรุ่นแรง เช่น ตกเลือด ติดเชื้ออย่างรุ่นแรง ทำให้เสียชีวิตได้ หรือบางรายอาจต้องผ่าตัด ตัดมดลูกทิ้งทำให้ไม่ สามารถตั้งครรภ์ได้อีกเลยตลอดชีวิต
1.3    ในบางกรณี เมื่อตั้งครรภ์ขึ้นมาจะทำให้เกิดภาวะจำยอมที่ต้องแต่งงานกัน โดยทั้งสองฝ่ายยังไม่มีความพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตคู่ที่ต้องมีภาระเลี้ยงดูบุตร ทำให้เกิดปัญหาครอบครัวซึ่งนำไปสู่การหย่าร้างในที่สุด
2.  การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์อาจทำให้เกิดการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ที่สำคัญคือ โรคในกลุ่มกามโรคและโรคเอดส์ โดยเฉพาะโรคเอดส์เป็นโรคที่กำลังแพร่ระบาด และทำให้เกิดปัญหา ทางสังคมอย่างมาก ทั้งยังเป็นโรคที่ไม่มียาหรือวิธีการรักษาที่ทำให้หายขาดได้ และไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคนี้ การติดเชื้อโรคเอดส์จึงทำให้เกิดปัญหาสุขภาพและปัญหาสังคมตามมา ทั้งยังทำลายอนาคตอีกด้วย


ความสำคัญของการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย

          การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลดภัย หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาตามมาหรือจากการมีเพศ สัมพันธ์ได้แก่ ปัญหาการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคเอดส์และโรคในกลุ่มกามโรค และเกิด การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์              
           ในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ได้จริง ๆ ก็ควรมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย  การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยมีความสำคัญอย่างมากในการช่วยป้องกันปัญหาจากการมีเพศสัมพันธ์ คือ ป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ และป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ อุปกรณ์ที่ช่วยให้มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยคือ ถุงยางอนามัย หรือคอนดอม ถุงยางอนามัย จัดให้เป็นเครื่องมือแพทย์ชนิดหนึ่งที่ช่วยทำให้มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยได้ สิ่งสำคัญในการใช้

ถุงยางอนามัยคือ การเลือกถึงยางอนามัยและการใช้ถึงยางอนามัยอย่างถูกต้อง
ในโอกาสนี้เมนู "ภูมิคุ้มกันชีวิต" ขอนำเสนอกลวิธีการป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควร ให้น้องๆ เยาวชนได้รับรู้ไว้เป็นเกราะป้องกันตนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า...มีคุณค่า น่านับถือตนเองได้ มาเรียนรู้ถึงบันได 13 ขั้น นำพาให้พ้นภัยได้ ดังนี้


         1. เรียนรู้ถึงความคิดต่างกันของหญิงชายในเรื่องเพศ
         ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่มีความรัก ขณะที่ผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์เพราะความรัก ผู้ชายมองการมีเพศสัมพันธ์ว่าเป็นการหาความสุขร่วมกันและไม่ต้องผูกพัน ขณะที่ผู้หญิงเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับชายใดจะต้องการมีความผูกพันกับชายคนนั้น หลังจากมีเพศสัมพันธ์ ผู้ชายไม่ได้คิดว่าจะต้องมีความผูกพันอะไรต่อไป ขณะที่ผู้หญิงคิดว่าเมื่อมีเพศสัมพันธ์กันแล้ว เธอจะต้องมีความผูกพันกับชีวิตเขา จึงเรียกความรับผิดชอบจากผู้ชาย ความตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างชายหญิง จะเป็นการป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่คาดคิด ซึ่งจะนำปัญหาต่าง ๆ มากมายที่ยากแก่การแก้ไข
         2. วัยรุ่นชายควรคิดเสมอว่าวัยรุ่นหญิงเป็นเพศเดียวกับแม่ พี่น้อง ควรช่วยเหลือและให้เกียรติ
         3. ควรหลีกเลี่ยงการถูกเนื้อต้องตัว เพราะอาจนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่คาดคิดได้
         4. ควรหลี่กเลี่ยงการไปพักค้างคืนร่วมกันเป็นหมู่คณะ หรือตามลำพังโดยไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล
         5. ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ด้วยกันตามลำพังในที่ลับตาคน
         6. ควรหลีกเลี่ยงการไปในสถานที่เปลี่ยว โรงแรมและสถานเริงรมย์ทุกรูปแบบ
         7. ควรหลีกเลี่ยงการมีนัดหมายกับเพศตรงข้ามในยามวิกาล
         8. ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสารเสพติดทุกชนิด
         9. วัยรุ่นหญิงควรแต่งกายเรียบร้อย และมิดชิด ไม่ควรแต่งกายในลักษณะที่ยั่วยุ ให้ผู้พบเห็นเกิดอารมณ์ทางเพศ เช่น เสื้อสายเดี่ยว เสื้อเกาะอก กระโปรงสั้น และกางเกงรัดรูปเกินไป
         10. หลีกเลี่ยงการคบเพื่อนหรือออกเที่ยวกับเพื่อนต่างเพศที่ไม่รู้จักดีพอ
         11. ควรหลีกเลี่ยงการออกเที่ยวหรือเดินทางในยามวิกาล หรือการเดินทางในที่เปลี่ยว
         12. วัยรุ่นชายหญิงควรวางตัวต่อกันอย่างสุภาพ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และไม่ควรมีการล่วงเกินทางเพศ หรือวางตัวสนิทสนมใกล้ชิดเกินไป
         13. การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ในสถานการณ์ที่เหมาะสม(การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง ใช้เป็นไม้ตายสุดท้าย ควรทำในที่ลับ และอย่าพร่ำเพรื่อจนเกินไป)

วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556

นิทาน

เรื่อง พฤติกรรมเสี่ยงโรคเอดส์

                                                                  
              ชื่อ ยูโกะ                                                                                                 ชื่อ   ซาน       
          สวยสวย  น่ารัก  แอ๊บๆ  รวย                                                                หล่อ  รวย  เจ้าเลห์  เป็นโรคเอดส์                                    
ซาน : สวัสดีครัฟฟ :)
ยูโกะ: สวัสดีค่ะ
ซาน: ชื่อรัยอ่ะ
ยูโกะ: ชื่อยูโกะ
ซาน: คัฟ ผมชื่อซาน ผมชอบคุณมานานแล้วครัฟ  ให้ผมพาคุณไปกินข้าน่ะครัฟ
ยูโกะ: คุณชอบฉัน
ซาน : ครับ ผมชอบคุณ
ยูโกะ: แล้วคุณชอบฉันตรงไหน ??
ซาน: ทุกตรงเพราะคุณไม่เหมือนผู้หญิงที่ผมรู้จัก คุณมีอะไรที่หลายอย่างที่ผมอยากค้นหา
ยูโกะ : O_O
ซาน: จริงๆนะครับ
ยูโกะ: แล้วฉันจะแน่ไจได้ไงว่าคุณจะไม่ทิ้งฉันไป แล้วฉันจะมั่นใจในตัวคุณมากแค่ไหน ??
ซาน : งั้นคุณก็มาลองคบกับผมดูสิ !!
ยูโกะ: งั้น………….??
          ลองดูก็ไม่เสียหาย
ซาน: งั้นไปดูหนังบ้านผมด้วยกันนะครับ
ยูโกะ: งั้นก็ได้ค่ะ
*หมายเหตุ นิทานที่ยกมาข้างต้นส่อให้เห็นถึงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์จึงเป็นสาเหตุของการเกิดโรคเอดส์



วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2556

โรคเอดส์

โรคเอดส์ ความรู้เรื่องโรคเอดส์

เอดส์หรือโรคเอดส์เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส
องค์การอนามัยโลกได้นิยามการวินิจฉัยโรคเอดส์ใหม ่เพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยและการรักษา
การวินิจฉัยผู้ที่ติดโรคเอดส์ในผู้ที่อายุมากกว่า 18 ปีซึ่งต้องมีเกณฑ์ดังนี้
  • ตรวจเลือดพบภูมิ antibody ต่อเชื้อโรคเอดส์สองครั้งด้วยวิธีที่ต่างกัน
และหรือ
  • การตรวจพบเชื้อโรคเอดส์ในเลือด (HIV-RNA or HIV-DNA) และต้องมีการตรวจยืนยันอีกครั้ง
สำหรับเด็กอายุน้อยกว่า18ปี การวินิจฉัยโรคเอดส์มีเกณฑ์ดังนี้
  • การตรวจพบเชื้อโรคเอดส์ในเลือด (HIV-RNA or HIV-DNA) และต้องมีการตรวจยืนยันอีกครั้ง จะไม่ใช้การตรวจภูมิมายืนยันการวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัย Primary infection
องค์กรควบคุมโรคติดต่อของประเทศอเมริกา(CDC)ได้ให้คำนยามไว้ดังนี้
  • เป็นการติดเชื้อโรคเอดส์ในทารก เด็กหรือผู้ใหญ่ ซึ่งอาจจะไม่มีอาการหรือมีอาการกลุ่ม acute
    retroviral syndrome เช่น ไข้หลังจากได้รับเชื้อ 2-4 สัปดาห์ ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ มีแผลที่ปากหรืออวัยวะเพศ หรืออาจจะมีเยื่อหุ้มสมองหรือสมองอักเสบ และอาจจะมีการติดเชื้อฉวยโอกาส ที่สำคัญคือการที่ว่าพบว่าพึ่งจะมีภูมิ antibody ต่อโรคเอดส์หรือตรวจพบตัวเชื้อโรคเอดส์(HIV-RNA or HIV-DNA) โดยที่ตรวจไม่พบภูมิ
การวินิจฉัยผู้ป่วยโรคเอดส์ชนิด advance (advanced HIV infection)
  • ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเอดส์ระยะที่3หรือ4และหรือ
  • CD4<350 cell/mmmในผู้ใหญ่ และหรือ
    • %CD4+ <30 ในเด็กอายุน้อยกว่า 12 เดือน
    • %CD4+ <25 ในเด็กอายุ 12–35 เดือน
    • %CD4+ <20 ในเด็กอายุ 36–59 เดือน
การประเมินความรุนแรงของโรคเอดส์ก่อนการรักษา
การประเมินความรุนแรงหรือระยะของโรคจะมีประโยชน์ในการประเมินก่อนการรักษาและประเมินเพื่อติดตามผลการรักษา และเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจให้ยาต้านไวรัสหรือการให้ยาเพื่อป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส
การประเมินความรุนแรงของโรคแบ่งเป็น
การประเมินความรุนแรงจากอาการของโรค
ตารางประเมินความรุนแรงจากอาการของโรค
อากาของผู้ป่วยโรคเอดส์
เกณฑ์ความรุนแรงตามองค์การอนามัยโรค WHO
ไม่มีอาการ
1
มีอาการน้อย
2
มีอาการโรคเอดส์Advanced symptoms
3
มีอาการรุนแรง Severe symptoms
4

การประเมินความรุนแรงจากภูมิของร่างกาย
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคเอดส์จะมีการตอบสนองของเซลล์ CD4 เมื่อโรคเป็นมากเซลล์จะลดลง หากการรักษาได้ผลเซลล์CD 4ก็จะเพิ่มขึ้น แต่จำนวนเซลล์ก็ขึ้นกับอายุดังนั้น

ตารางแสดงความรุนแรงและระดับ CD4
HIV-associated
immunodeficiency
จำนวน CD4 ในแต่ละอายุ
<11 เดือน
(%CD4+)
12–35 เดือน
(%CD4+)
36 –59 เดือน
(%CD4+)
>5 ปี (จำนวน cd4/mm3 sinv
%CD4+)
None or not significant
>35
>30
>25
500
Mild
30–35
25–30
20–25
350−499
Advanced
25–29
20–24
15−19
200−349
Severe
<25
<20
<15
<200 หรือ<15%

การตัดสินใจให้ยารักษาหรือป้องกันการตอดเชื้อฉวยโอกาส
การเจาะเลือดหาจำนวนเซลล์ CD4จะช่วยในการตัดสินใจให้ยารักษาหรือยาป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาส
  • ผู้ป่วยที่มีความรุนแรง advance หรือ severe ควรจะได้รับยาต้านไวรัสเพื่อรักษาโรคเอดส์
  • ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการน้อยยังไม่สมควรได้รับยารักษาโรคเอดส์
การประเมินความรุนแรงของโรคเอดส์โดยอาศัยอาการหรือโรคแทรกซ้อน
ความรุนแรงของโรคระดับ1อาการของผู้ป่วย
ไม่มีอาการ Asymptomatic 
ต่อมน้ำเหลืองโต Persistent generalized lymphadenopathyต่อมน้ำเหลืองโตมากว่า1 ซมโดยไม่พบสาเหตุ มากกว่า2แห่ง
ความรุนแรงของโรคระดับ2 
น้ำหนักลดลง 10 %จากปกตโดยไม่ทราบสาเหตุิ  
มีการติดเชื้อทางเดินหายใจซ้ำๆ เช่นไซนัสอักเสบ sinusitis,ต่อมทอนซิลอักเสบ tonsillitis, หูชั้นกลางอักเสบ otitis media และคออักเสบ pharyngitis)ผู้ป่วยจะมีอาการปวดใบหน้า น้ำมูกไหลข้างเดียว เจ็บหู หรือเจ็บคอ
งูสวัด Herpes zosterมีตุ่มขึ้นตามแนวเส้นประสาท
ปากนกกระจอก Angular cheilitisมุมปากแตกตอบสนองต่อยารักษาเชื้อรา
แผลในปากเป็นซ้ำRecurrent oral ulcerationเป็นแผลร้อนในมากกว่า2ครั้งในระยะเวลา 6 เดือน
ผื่นที่ผิวหนัง Papular pruritic eruptionsผื่นคันเป็นตุ่มๆและมักจะเป็นจุดดำๆ
ผื่แพ้ไขมัน Seborrhoeic dermatitisผิวหนังคนและมีขุยมักเป็นบริเวณที่มีผมหรือขน เช่นศรีษะ รักแร ร่องจมูก
เชื้อราที่เล็บ Fungal nail infectionsมีการอักเสบของเล็บหรือมีการติดเชื้อราที่เล็บ
ความรุนแรงของโรคระดับ3 
น้ำหนักลดลงมากกว่าร้อยละ10โดยไม่ทราบสาเหตุน้ำหนักลด แก้มตอบ แขนขาลีบ ดัชนีมวลกายน้อยกว่า18.5
ท้องร่วงเรื้อรังมากกว่า 1 เดือน ถ่ายอุจาระเหลวเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 1เดือน
ไข้เรื้อรัง(มากกว่า37.6องศา)นานกว่าหนึ่งเดือนไข้หรือเหงื่อออกกลางคืน ไข้อาจจะเป็นตลอดหรือเป็นๆหายๆ ไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ
เชื้อราในปาก Persistent oral candidiasisมีอาการเจ็บปากและมีคราบขาวๆในปากเป็นๆหายๆ
มะเร็งในช่องปาก Oral hairy leukoplakiaผื่นขาวๆข้างลิ้น
เป็นวัณโรคปอด ไข้ไอเรื้อรังมากว่า 2 สัปดาห์ หรือตรวจเสมหะพบเชื้อวัณโรค หรือตรวจทางรังสีเข้าได้กับวัณโรค
ติดเชื้อแบททีเรียชนิดรุนแรง เช่น ปอดบวม หนองในปอด กล้ามเนื้ออักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีไข้ร่วมกับอาการตามระบบ เช่นไอ เจ็บหน้าอก ปวดศีรษะ
ปากหรือเหงือกอักเสบ ปาดอักเสบ มีแผล ฟันร่วง กลิ่นปากแรง
ซีดโดยไม่ทราบสาเหตุ (<8 g/dl),เม็ดเลือดขาวต่ำneutropaenia (<0.5 × 109 per litre)
หรือเกล็ดเลือดต่ำ chronic thrombocytopaenia (<50 × 109 per litre)
 
ความรุนแรงของโรคระดับ4 
กล้ามเนื้อรีบ HIV wasting syndromeน้ำหนักลดลงมากกว่า10%และหรือท้องร่วงเรื้อรัง หรือไข้เรื้อรัง
ติดเชื้อ Pneumocystis pneumoniaไข้ เหนื่อยง่าย ไอ ตรวจทางรังสีพบปอดบวมและไม่พบว่ามีการติดเชื้อแบททีเรีย
ปอดบวมรุนแรงซ้ำ Recurrent severe bacterial pneumoniaมีปอดบวม 2ครั้งใน 6เดือน
ติดเชื้อเริม Chronic herpes simplex infection เรื้อรังนานมากกว่า 1 เดือนมีผื่นที่ริมฝีปากหรืออวัยวะเพศนานกว่า1เดือนหรือเป็นๆหายๆ
ติดเชื้อราตามอวัยวะต่างๆ Oesophageal candidiasis (or candidiasis of trachea, bronchi or lungs)มีอาการกลืนอาหารลำบากและเจ็บหน้าอกเนื่องจากเชื้อราในหลอดอาหาร
เป็นวัณโรคนอกปอด Extrapulmonary tuberculosisไข้ ไอ เจ็บหน้าอก ตรวจมีหนองช่องปอดหรือหัวใจ
Kaposi’s sarcomaก้อนสีออกแดงที่ผิวหนังและในปาก
ติดเชื้อCytomegalovirus infection (retinitis or infection of other organs)รู้ได้โดยการตรวจของจักษุแพทย์
ติดเชื้อ Central nervous system toxoplasmosisมีอาการอ่อนแรงของแขนและขาทำcomputer พบรอยโรคในสมอง
HIV encephalopathyความจำไม่ดี การเรียนรู้หรือพฤติกรรมแย่ลง
ติดเชื้อ Extrapulmonary cryptococcosis including meningitisไข้ ปวดศีรษะ คอแข็งเกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
ติดเชื้อDisseminated non-tuberculous mycobacterial infectionไม่มีอาการเฉพาะ
Progressive multifocal leukoencephalopathyไม่มีอาการเฉพาะ
ติดเชื้อ Chronic cryptosporidiosis (with diarrhoed)ไม่มีอาการเฉพาะ
ติดเชื้อ Chronic isosporiasis 
ติดเชื้อ Disseminated mycosis (coccidiomycosis or histoplasmosis)ไม่มีอาการเฉพาะ
ติดเชื้อไทฟอยด์ซ้ำ Recurrent non-typhoidal Salmonella bacteraemiaไม่มีอาการเฉพาะ
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง Lymphoma (cerebral or B-cell non-Hodgkin) or other solid HIV-associated tumoursไม่มีอาการเฉพาะ
มะเร็งปากมดลูก Invasive cervical carcinomaไม่มีอาการเฉพาะ
Atypical disseminated leishmaniasisไม่มีอาการเฉพาะ
โรคเอดส์ที่มีโรคไตและโรคหัวใจSymptomatic HIV-associated nephropathy or symptomatic HIV-associated cardiomyopathyไม่มีอาการเฉพาะ



อ้างอิง

http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/HIV/INDEX.htm

ป้องกันตัวเอง ไม่ให้ติดเชื้อเอดส์ ได้อย่างไร

ป้องกันตัวเอง ไม่ให้ติดเชื้อเอดส์ ได้อย่างไร


รักเดียว ใจเดียว หากจะมีเพศสัมพันธ์กับหญิง ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์
ขอรับบริการปรึกษา เรื่อง โรคเอดส์ ก่อนแต่งงาน และก่อนที่จะมีบุตรทุกท้อง
ไม่ดื่มเหล้า และงดใช้สารเสพติดทุกชนิด
วิธีใช้ถุงยางอนามัย (http://www.anamai.moph.go.th/healthteen/parents/care32.html)

- หลังจากตรวจสอบว่า ถุงยางอนามัยไม่หมดอายุ ซองไม่มีรอยฉีกขาด ฉีกมุมซองโดยระมัดระวัง ไม่ให้เล็บมือเกี่ยวถุงยางอนามัยขาด

- ใช้ถุงยางอนามัยในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัว บีบปลายถุงยาง เพื่อไล่อากาศ

- รูดถุงยางอนามัย โดยให้ม้วนขอบอยู่ด้านนอก

- สวมถุงยางอนามัย แล้วรูดให้ขอบถุงยางอนามัย ถึงโคนอวัยวะเพศ

- หลังเสร็จกิจ ควรรีบถอดถุงยางอนามัย ในขณะที่อวัยวะเพศยังแข็งตัว โดยใช้กระดาษชำระหุ้มถุงยางอนามัยก่อนที่จะถอด หากไม่มีกระดาษชำระต้องระวัง ไม่ให้มือสัมผัสกับด้านนอกของถุงยาง ควรสันนิษฐานว่า ด้านนอกของถุงยาง อาจจะปนเปื้อนเชื้อเอดส์แล้ว

- ทิ้งถุงยางอนามัยที่ใช้แล้ว ลงในภาชนะรองรับ เช่น ถังขยะ
วันเอดส์โลก
วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้เป็นวันเอดส์โลก
วัตถุประสงค์ของวันเอดส์โลก
1. เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์
2. เพื่อสร้างเสริมและสนับสนุนให้มีมาตรการการป้องกันให้มากยิ่งขึ้นในสังคมทุกระดับ
3. เพื่อให้มีการจัดกิจกรรมต่อต้านต่างๆ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
4. เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ
5. เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
    คำขวัญวันเอดส์โลก เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531-2551 (1988-2008)
  1. ค.ศ.1988 หรือ พ.ศ. 2531 Communication about AIDS เอดส์ป้องกันได้ หากร่วมใจกันทั่วโลก
  2. ค.ศ.1989 หรือ พ.ศ. 2532 Importance of Youth in the AIDS Epidemic เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ช่วยผู้ตกเป็นเหยื่อเอดส์
  3. ค.ศ.1990 หรือ พ.ศ. 2533 Women are the Key to achieving health for all สุขภาพดีไม่มีเอดส์ สตรีเพศเป็นแกนนำ
  4. ค.ศ.1991 หรือ พ.ศ. 2534 Sharing the Challenge ร่วมมือ ร่วมใจ ต้านภัยเอดส์
  5. ค.ศ.1992 หรือ พ.ศ. 2535 AIDS : A Community Commitment เอดส์เป็นปัญหาของทุกคน ประชาชนต้องร่วมแก้ไข
  6. ค.ศ.1993 หรือ พ.ศ. 2536 Time to Act จริงจัง จริงใจ ขจัดภัยเอดส์
  7. ค.ศ.1994 หรือ พ.ศ. 2537 AIDS and the Family : Family Takes Care ครอบครัวทั่วไทย ห่วงใยปัญหาเอดส์ ไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือ
  8. ค.ศ.1995 หรือ พ.ศ. 2538 Share Right , Share Responsibility เคารพสิทธิ์ รับผิดชอบ มอบน้ำใจ สังคมไทยปลอดเอดส์
  9. ค.ศ.1996 หรือ พ.ศ. 2539 One World , One Hope โลกนี้ยังมีหวัง รวมพลังหยุดยั้งเอดส์
  10. ค.ศ.1997 หรือ พ.ศ. 2540 Children Living in a world with AIDS สร้างสรรค์โลกใหม่ ให้เด็กไทยไร้เอดส์
  11. ค.ศ.1998 หรือ พ.ศ. 2541 Force for change world Aids campain with young people คนรุ่นใหม่ ร้อยใจ รวมพลัง หยุดยั้งเอดส์
  12. ค.ศ.1999 หรือ พ.ศ. 2542 Listen , Learn , Live รู้เขา รู้เรา รู้เท่าทันเอดส์
  13. ค.ศ.2000 หรือ พ.ศ. 2543 Men make a difference เอดส์ลดหรือเพิ่ม เริ่มที่ผู้ชาย
  14. ค.ศ.2001 หรือ พ.ศ. 2544 I care....Do you? เอดส์ลดแน่ ถ้าคุณร่วมแก้ไข
  15. ค.ศ.2002 หรือ พ.ศ. 2545 Stigma and Discrimination -- Live and Let Live ทุกชีวิตมีคุณค่า โปรดอย่าตัดสินด้วยเอดส์
  16. ค.ศ.2003 หรือ พ.ศ. 2546 Stigma and Discrimination -- Live and Let Live ทุกชีวิตมีคุณค่า โปรดอย่าตัดสินด้วยเอดส์
  17. ค.ศ.2004 หรือ พ.ศ. 2547 Woman, girls, HIV and AIDS เยาวชนรุ่นใหม่... เข้าใจเรื่องเพศ...ร่วมป้องกันเอดส์
  18. ค.ศ.2005 หรือ พ.ศ. 2548 Stop AIDS Keep the promiss เอดส์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา
  19. ค.ศ.2006 หรือ พ.ศ. 2549 Stop AIDS Keep the promiss เอดส์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา
  20. ค.ศ.2007 หรือ พ.ศ. 2550 Stop AIDS Keep the promiss เอดส์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา
  21. ค.ศ.2008 หรือ พ.ศ. 2551 Stop AIDS Keep the promiss เอดส์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา

อ้างอิง
http://www.thaiall.com/aids/

โรคเอดส์มีอาการอย่างไร?

เอดส์ มีอาการอย่างไร
คนที่สัมผัสกับโรคเอดส์หรือคนที่ได้รับเชื้อเอดส์เข้าไปในร่างกายม่จำเป็นต้องมีการติดเชื้อเอดส์เสมอไปขึ้นกับจำนวนครั้งที่สัมผัสจำนวนและความดุร้ายของไวรัสเอดส์ที่เข้าสู่ร่างกายและภาวะภูมิต้านทานของร่างกายถ้ามีการติดเชื้ออาการที่เกิดขึ้นมีได้หลายรูปแบบหรือหลายระยะตามการดำเนินของโรค
ระยะที่ 1 : ระยะที่ไม่มีอาการอะไร
ภายใน2-3 อาทิตย์แรกหลังจากได้รับเชื้อเอดส์เข้าไป ราวร้อยละ 10 ของผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายๆ ไข้หวัด คือมีไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่นตามตัว แขน ขาชาหรืออ่อนแรง เป็นอยู่ราว 10-14 วันก็จะหายไปเอง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่สังเกต นึกว่าคงเป็นไข้หวัดธรรมดาราว 6-8 สัปดาห์ภายหลังติดเชื้อ ถ้าตรวจเลือดจะเริ่มพบว่ามีเลือดเอดส์บวกได้ และส่วนใหญ่จะตรวจพบว่ามีเลือดเอดส์บวกภายหลัง 3 เดือนไปแล้ว โดยที่ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการอะไรเลยเพียงแต่ถ้าไปตรวจก็จะพบว่ามีภูมิคุ้นเคยต่อไวรัสเอดส์อยู่ในเลือดหรือที่เรียกว่าเลือดเอดส์บวกซึ่งแสดงว่ามีการติดเชื้อเอดส์เข้าไปแล้วร่างกายจึงตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนบางอย่างขึ้นมาทำปฏิกิริยากับไวรัสเอดส์เรียกว่าแอนติบอดีย์(antibody)เป็นเครื่องแสดงว่าเคยมีเชื้อเอดส์เข้าสู่ร่างกายมาแล้วแต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะไวรัสเอดส์ได้คนที่มีเลือดเอดส์บวกจะมีไวรัสเอดส์อยู่ในตัวและสามารถแพร่โรคให้กับคนอื่นได้ น้อยกว่าร้อยละ 5 ของคนที่ติดเชื้ออาจต้องรอถึง 6 เดือนกว่าจะมีเลือดเอดส์บวกได ดังนั้นคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงมา เช่น แอบไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา โดยไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัยป้องกัน ตรวจตอน 3 เดือน แล้วไม่พบก็ต้องไปตรวจซ้ำอีกตอน6เดือนโดยในระหว่างนั้นก็ต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์กับภรรยาและห้ามบริจาคโลหิตให้ใครในระหว่างนั้นผู้ติดเชื้อบางรายอาจมีต่อมน้ำเหลืองตามตัวโตได้โดยโตอยู่เป็นระยะเวลานานๆ คือเป็นเดือนๆ ขึ้นไป ซึ่งบางรายอาจคลำพบเอง หรือไปหาแพทย์แล้วแพทย์คลำพบ ต่อมน้ำเหลืองที่โตนี้มีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ แข็งๆ ขนาด1-2 เซนติเมตร อยู่ใต้ผิวหนังบริเวณด้านข้างคอทั้ง 2 ข้าง(รูปที่ 2) ข้างละหลายเม็ดในแนวเดียวกัน คลำดูแล้วคลายลูกประคำที่คอไม่เจ็บ ไม่แดง นอกจากที่คอต่อมน้ำเหลืองที่โตยังอาจพบได้ที่รักแร้และขาหนีบทั้ง 2 ข้าง แต่ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบมีความสำคัญน้อยกว่าที่อื่นเพราะพบได้บ่อยในคนปกติทั่วไป ต่อมน้ำเหลืองเหล่านี้จะเป็นที่พักพิงในช่วงแรกของไวรัสเอดส์ โดยไวรัสเอดส์จะแบ่งตัวอย่างมากในต่อมน้ำเหลืองที่โตเหล่านี้
ระยะที่ 2 : ระยะที่เริ่มมีอาการหรือระยะที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์
เป็นระยะที่คนไข้เริ่มมีอาการ แต่อาการนั้นยังไม่มากถึงกับจะเรียกว่าเป็นโรคเอดส์เต็มขั้น อาการในช่วงนี้อาจเป็นไข้เรื้อรัง น้ำ หนักลด หรือท้องเสียงเรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้อาจมีเชื้อราในช่องปาก(รูปที่ 3), งูสวัด(รูปที่ 4), เริมในช่องปาก หรืออวัยวะ เพศ ผื่นคันตามแขนขา และลำตัวคล้ายคนแพ้น้ำลายยุง(รูปที่ 5) จะเห็นได้ว่า อาการที่เรียกว่าสัมพันธ์กับเอดส์นั้น ไม่จำเพาะสำหรับโรคเอดส์เสมอไป คนที่เป็นโรคอื่นๆ ก็อาจมีไข้ น้ำหนักลด ท้องเสีย เชื้อราในช่องปาก งูสวัด หรือเริมได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าถ้ามีอาการเหล่านี้จะต้องเหมาว่าติดเชื้อเอดส์ไปทุกร้าย ถ้าสงสัยควรปรึกษา แพทย์และตรวจเลือดเอดส์พิสูจน์
ระยะที่ 3 : ระยะโรคเอดส์เต็มขั้น หรือที่ภาษาทางการเรียกว่าโรคเอดส์
เป็นระยะที่ภูมิต้านทานของร่ายกายเสียไปมากแล้วผู้ป่วยจะมีอาการของการติดเชื้อจำพวกเชื้อฉกฉวยโอกาสบ่อยๆและเป็นมะเร็งบางชนิดเช่นแคโปซี่ซาร์โคมา(Kaposi'ssarcoma)และมะเร็งปากมดลูก การติดเชื้อฉกฉวยโอกาสหมายถึงการติดเชื้อที่ปกติมีความรุนแรงต่ำไม่ก่อโรคในคนปกติแต่ถ้าคนนั้นมีภูมิต้านทานต่ำลงเช่นจากการเป็นมะเร็งหรือจากการได้รับยาละทำให้เกิดวัณโรคที่ปอดต่อมน้ำเหลืองตับหรือสมองได้ รองลงมาคือเชื้อพยาธิที่ชื่อว่านิวโมซิส-ตีส-คารินิไอ ซึ่งทำให้เกิดปอดบวมขึ้นได้(ไข้ ไอ หายใจเหนื่อยหอบ) ต่อมาเป็นเชื้อราที่ชื่อ คริปโตคอคคัสซึ่งทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีอาการไข้ ปวดศีรษะ ซึมและอาเจียน นอกจากนี้ยังมีเชื้อฉกฉวยโอกาสอีกหลายชนิด เช่นเชื้อพยาธิที่ทำให้ท้องเสียเรื้อรัง และเชื้อซัยโตเมก กะโลไวรัส (CMV) ที่จอตาทำให้ตาบอด หรือที่ลำไส้ทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย และถ่ายเป็นเลือดเป็นต้นในภาคเหนือตอนบน มีเชื้อราพิเศษ ชนิดหนึ่งชื่อ เพนนิซิเลียว มาร์เนฟฟิโอ ชอบทำให้ติดเชื้อที่ผิวหนัง(รูปที่ 6) ต่อมน้ำเหลืองและมีการติดเชื้อในกระแสโลหิตแคโปซี่ ซาร์โค มา เป็นมะเร็งของผนังเส้นเลือด ส่วนใหญ่จะพบตามเส้นเลือดที่ผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีม่วงๆ แดงๆ บนผิวหนัง คล้ายจุดห้อเลือด หรือไฝ ไม่เจ็บไม่คันค่อยๆ ลามใหญ่ขึ้น ส่วนจะมีหลายตุ่ม(รูปที่ 7) บางครั้งอาจแตกเป็นแผล เลือดออกได้ บางครั้งแคโปซี่ซาร์โคมา อาจเกิดในช่องปากในเยื่อบุทางเดินอาหาร ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกมากๆ ได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งปากมดลูกได้ ดังนั้นผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์จึงควรพบแพทย์เพื่อตรวจมะเร็งปากมดลูกทุก 6 เดือน นอกจากนี้คนไข้โรคเอดส์เต็มขั้นอาจมีอาการทางจิตทางประสาทได้ด้วยโดยที่อาจมีอาการหลงลืมก่อนวัย เนื่องจากสมองฝ่อเหี่ยว หรือมีอาการของโรคจิต หรืออาการชักกระตุก ไม่รู้สึกตัว แขนขาชาหรือไม่มีแรง บางรายอาจมีอาการปวดร้าวคล้ายไฟช๊อตหรือปวดแสบปวดร้อน หรืออาจเป็นอัมพาตครึ่งท่อน ปัสสาวะ อุจจาระไม่ออก เป็นต้น ในแต่ละปีหลังติดเชื้อเอดส์ร้อยละ 5-6 ของผู้ที่ติดเชื้อจะก้าวเข้าสู่ระยะเอดส์เต็มขั้นส่วนใหญ่ของคนที่เป็นโรคเอดส์เต็มขั้นแล้ว จะเสียชีวิตภายใน2-4 ปี จากโรคติดเชื้อฉกฉวยโอกาสที่เป็นมาก รักษาไม่ไห หรือโรคติดเชื้อที่ยังไม่มียาที่จะรักษาอย่างได้ผล หรือเสียชีวิตจากมะเร็งที่เป็นมากๆ หรือค่อยๆ ซูบซีดหมดแรงไปในที่สุด พบว่ายาต้านไวรัสเอดส์ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้ในประเทศตะวันตกสามารถยืดชีวิตคนไข้ออกไปได้10 - 20 ปีและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หรืออาจอยู่จนแก่ตายได้
อาการของเอดส์ มี 2 ระยะ
1. ระยะไม่มีอาการ ผู้ติดเชื้อจะมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะนี้ และบางคนไม่ทราบว่า ตัวเองติดเชื้อ จึงอาจแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้
2. ระยะมีอาการ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะเริ่มแสดงอาการ ภายหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 7-8 ปี แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
- ระยะเริ่มปรากฎอาการ อาการที่พบคือ มีเชื้อราในปาก ต่อมน้ำเหลืองโต งูสวัด มีไข้ ท้องเสีย น้ำหนักลด มีตุ่มคันบริเวณผิวหนัง
- ระยะโรคเอดส์ เป็นระยะที่มีภูมิต้านทานลดลงมาก ทำให้ติดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น

การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร

 
          ในปัจจุบันสังคมของประเทศก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ข้อมูลข่าวสารของโลกสมัยใหม่แพร่กระจายสู่สังคมต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกได้ครอบงำวิถีชีวิตของวัยรุ่นไทยจำนวนไม่ น้อยทั้งในด้านการรับประทานอาหารฟาสท์ฟูด การแต่งกาย การคบเพื่อนต่างเพศ สังคมของวัยรุ่นไทยกลายเป็นสังคมบริโภคที่แทบจะไม่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ
          เด็กและเยาวชนถือเป็นกำลังสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต  แต่ในสภาพสังคมไทยปัจจุบันมีปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลกระทบที่เป็นปัญหาและ อุปสรรคต่อการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของเด็กและเยาวชนไทย  พฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นในปัจจุบันนี้ ออกนอกกรอบดั้งเดิมมากขึ้นทุกที เช่น การเลือกคู่ครอง จะถือเอา ความรัก เป็นสำคัญ ไม่ชอบการคลุมถุงชน การคบเพื่อนต่างเพศ เป็นไปอย่างอิสระเสรี เพราะเห็นว่า ไม่ใช่เรื่อง น่าละอาย หญิงสาวให้ความสำคัญในการครองตัว เป็นหญิงพรหมจรรย์ถึงวันแต่งงานน้อยลง ประกอบกับ ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องในเรืองเพศ ทำให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม เช่น การมี เพศสัมพันธ์ ก่อนวัยอันควร การสำส่อนทางเพศ การเบี่ยงเบนทางเพศ เช่นการรักร่วมเพศ เป็นต้น และเกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น การเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ และปัญหาการทำแท้ง

ผลของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร

วัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรมักไม่ได้คิดถึงผลที่จะเกิดตามมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่สำคัญ ได้แก่
1.  การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ในช่วงวัยรุ่นการเจริญเติบโตและความสมบูรณ์ทางร่างกายทำให้เกิดความพร้อม ทางภาวการณ์เจริญพันธุ์สูงมาก ดังนั้น เมื่อมีเพศสัมพันธ์จึงทำให้มีโอกาสให้กำเนิดชีวิตใหม่ หรือการตั้งครรภ์ก็มีสูงมากด้วย  การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ของวัยรุ่น เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เป็นการตั้งครรภ์ใน ขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน จึงก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างมากทั้งทางด้านครอบครัว เศรษฐกิจ และสังคม และปัญหาการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์นี้ส่งผลกระทบต่ออนาคตของวัยรุ่นอย่างมากด้วย

ลักษณะของปัญหาจากการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์มีดังนี

1.1 ฝ่ายหญิงที่เป็นฝ่ายที่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่  เมื่อตั้งครรภ์ขึ้นมาก็ไม่อาจศึกษาเล่าเรียนต่อไปได้ ทำให้ต้องออกจากการศึกษากลางคัน ซึ่งก็หมายถึงอนาคตการเรียนก็หมดไปอย่างสิ้นเชิงบางรายเมื่อ ตั้งครรภ์ก็ไม่กล้าบอกพ่อแม่ ผู้ปกครองทราบแต่ก็ไม่สามารถปกปิดได้ตลอดไป จึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านไป เผชิญชีวิตด้วยตนเอง เมื่อคลอดลูกก็จะเกิดปัญหาตามมามากมาย โดยเฉพะาปัญหาทางเศรษฐกิจและปัญหาสังคม

1.2 ในบางกรณีตัดสินใจทำแท้งเพื่อยุติการตั้งครรภ์โดยหวังว่าเมื่อไม่ตั้งครรภ์แล้วจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตและศึกษาเล่าเรียนได้ตามปกติ ในความเป็นจริงแล้วการทำแท้งเป็นเรื่องที่ผิดทั้งทางด้านศีลธรรม กฎหมาย และค่านิยมของสังคม และที่สำคัญที่สุดคือ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพ ในบางรายที่ทำแท้งโดยผู้ทำไม่ใช่แพทย์อาจเป็น อันตรายรุ่นแรง เช่น ตกเลือด ติดเชื้ออย่างรุ่นแรง ทำให้เสียชีวิตได้ หรือบางรายอาจต้องผ่าตัด ตัดมดลูกทิ้งทำให้ไม่ สามารถตั้งครรภ์ได้อีกเลยตลอดชีวิต
1.3    ในบางกรณี เมื่อตั้งครรภ์ขึ้นมาจะทำให้เกิดภาวะจำยอมที่ต้องแต่งงานกัน โดยทั้งสองฝ่ายยังไม่มีความพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตคู่ที่ต้องมีภาระเลี้ยงดูบุตร ทำให้เกิดปัญหาครอบครัวซึ่งนำไปสู่การหย่าร้างในที่สุด
2.  การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์อาจทำให้เกิดการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ที่สำคัญคือ โรคในกลุ่มกามโรคและโรคเอดส์ โดยเฉพาะโรคเอดส์เป็นโรคที่กำลังแพร่ระบาด และทำให้เกิดปัญหา ทางสังคมอย่างมาก ทั้งยังเป็นโรคที่ไม่มียาหรือวิธีการรักษาที่ทำให้หายขาดได้ และไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคนี้ การติดเชื้อโรคเอดส์จึงทำให้เกิดปัญหาสุขภาพและปัญหาสังคมตามมา ทั้งยังทำลายอนาคตอีกด้วย


ความสำคัญของการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย

          การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลดภัย หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาตามมาหรือจากการมีเพศ สัมพันธ์ได้แก่ ปัญหาการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคเอดส์และโรคในกลุ่มกามโรค และเกิด การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์              
           ในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ได้จริง ๆ ก็ควรมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย  การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยมีความสำคัญอย่างมากในการช่วยป้องกันปัญหาจากการมีเพศสัมพันธ์ คือ ป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ และป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ อุปกรณ์ที่ช่วยให้มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยคือ ถุงยางอนามัย หรือคอนดอม ถุงยางอนามัย จัดให้เป็นเครื่องมือแพทย์ชนิดหนึ่งที่ช่วยทำให้มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยได้ สิ่งสำคัญในการใช้

ถุงยางอนามัยคือ การเลือกถึงยางอนามัยและการใช้ถึงยางอนามัยอย่างถูกต้อง
ในโอกาสนี้เมนู "ภูมิคุ้มกันชีวิต" ขอนำเสนอกลวิธีการป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควร ให้น้องๆ เยาวชนได้รับรู้ไว้เป็นเกราะป้องกันตนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า...มีคุณค่า น่านับถือตนเองได้ มาเรียนรู้ถึงบันได 13 ขั้น นำพาให้พ้นภัยได้ ดังนี้


         1. เรียนรู้ถึงความคิดต่างกันของหญิงชายในเรื่องเพศ
         ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่มีความรัก ขณะที่ผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์เพราะความรัก ผู้ชายมองการมีเพศสัมพันธ์ว่าเป็นการหาความสุขร่วมกันและไม่ต้องผูกพัน ขณะที่ผู้หญิงเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับชายใดจะต้องการมีความผูกพันกับชายคนนั้น หลังจากมีเพศสัมพันธ์ ผู้ชายไม่ได้คิดว่าจะต้องมีความผูกพันอะไรต่อไป ขณะที่ผู้หญิงคิดว่าเมื่อมีเพศสัมพันธ์กันแล้ว เธอจะต้องมีความผูกพันกับชีวิตเขา จึงเรียกความรับผิดชอบจากผู้ชาย ความตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างชายหญิง จะเป็นการป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่คาดคิด ซึ่งจะนำปัญหาต่าง ๆ มากมายที่ยากแก่การแก้ไข
         2. วัยรุ่นชายควรคิดเสมอว่าวัยรุ่นหญิงเป็นเพศเดียวกับแม่ พี่น้อง ควรช่วยเหลือและให้เกียรติ
         3. ควรหลีกเลี่ยงการถูกเนื้อต้องตัว เพราะอาจนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่คาดคิดได้
         4. ควรหลี่กเลี่ยงการไปพักค้างคืนร่วมกันเป็นหมู่คณะ หรือตามลำพังโดยไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล
         5. ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ด้วยกันตามลำพังในที่ลับตาคน
         6. ควรหลีกเลี่ยงการไปในสถานที่เปลี่ยว โรงแรมและสถานเริงรมย์ทุกรูปแบบ
         7. ควรหลีกเลี่ยงการมีนัดหมายกับเพศตรงข้ามในยามวิกาล
         8. ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสารเสพติดทุกชนิด
         9. วัยรุ่นหญิงควรแต่งกายเรียบร้อย และมิดชิด ไม่ควรแต่งกายในลักษณะที่ยั่วยุ ให้ผู้พบเห็นเกิดอารมณ์ทางเพศ เช่น เสื้อสายเดี่ยว เสื้อเกาะอก กระโปรงสั้น และกางเกงรัดรูปเกินไป
         10. หลีกเลี่ยงการคบเพื่อนหรือออกเที่ยวกับเพื่อนต่างเพศที่ไม่รู้จักดีพอ
         11. ควรหลีกเลี่ยงการออกเที่ยวหรือเดินทางในยามวิกาล หรือการเดินทางในที่เปลี่ยว
         12. วัยรุ่นชายหญิงควรวางตัวต่อกันอย่างสุภาพ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และไม่ควรมีการล่วงเกินทางเพศ หรือวางตัวสนิทสนมใกล้ชิดเกินไป
         13. การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ในสถานการณ์ที่เหมาะสม(การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง ใช้เป็นไม้ตายสุดท้าย ควรทำในที่ลับ และอย่าพร่ำเพรื่อจนเกินไป)



อ้างอิง

http://www.sby.ac.th/krumukda/index.php/2012-07-11-07-37-37/112-2012-07-23-11-21-28

เอดส์เกิดจากอะไร?

อายุของเชื้อเอดส์ เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี(HIV) (Human Ammumnodeficiency Virus) ไวรัสนี้จะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ไม่สามารถป้องกันภยันตรายจากโรคติดเชื้ออื่น ๆ หรือโรคมะเร็งบางชนิดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดเชื้อ หรือโรคมะเร็งประเภทฉวยโอกาส ผู้ป่วย เอดส์มักจะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว (กระทรวงสาธารณสุข, 2531)
เอดส์ คือ โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน หรือกลไกต่อต้านเชื้อโรคของร่างกาย ทำให้ภูมิคุ้มกันลดน้อยลงหรือไม่มีเลย ร่างกายจึงติดเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ ได้ง่ายแม้กระทั่งเชื้อที่พบทั่วไปในธรรมชาติและไม่ทำอันตรายต่อคนปกติ ก็จะเป็นอันตรายสำหรับผู้ติดเชื้อเอดส์ ที่มีระบบภูมิคุ้มกันลดน้อยลง นอกจากนี้ยังอาจพบอาการของโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งผิวหนังบางชนิดที่ปกติไม่พบบ่อย ความเจ็บป่วยเหล่านี้อาจมีความรุนแรงและทำให้ตายได้
สรุปได้ว่า เอดส์ หมายถึง กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันชนิดเซลเสื่อมที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี(HIV) ทำให้เชื้อโรคชนิดอื่นฉวยโอกาสเข้าแทรกแซง เช่น ปอดบวม มะเร็งบางชนิด วัณโรค โรคผิวหนังต่าง ๆ  มีอาการทางจิตประสาท และอาการผอมแห้งร่วมกับท้องร่วง

อ้างอิง
เอดส์ใครคิดว่าไม่สำคัญ !
ถ้าคุณเข้าใจว่า เอดส์เป็นเรื่องไกลตัว !
ถ้าคุณเข้าใจว่า เอดส์ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด !
ลองอ่านข้อมูลเกี่ยวกับ เอดส์ข้างล่างสักนิด อาจจะเปลี่ยนความคิดของคุณก็ได้
"เอดส์" มหันตภัย...เรื่องจริงที่ต้องรับรู้
การติดเชื้อ

อันตรายที่จะได้รับจากการติดโรคเอดส์

                ผู้ที่ได้รับเชื้อเอดส์ จะทำให้ภูมิคุ้มกันในตัวมีคุณภาพน้อยลง ที่ได้รับเชื้อมากอาจจะไม่มีภูมิคุ้มกันเลย ดังที่ได้ทราบกันดีอยู่แล้วว่า “ภูมิคุ้มกัน” ในร่างกายของมนุษย์เป็นเสมือนทหารที่คอยเฝ้าดูแลไม่ให้ศัตรูจากภายนอกเข้ามาทำอันตรายร่างกาย เมื่อภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือไม่มีเสียแล้ว เชื้อโรคต่าง ๆ จำนวนมากมายที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวของมนุษย์ก็จะทำอันตรายต่อร่างกายของผู้ที่ได้รับเชื้อเอดส์ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งอาจจะเป็นพร้อมกันหลาย ๆ โรค เป็นผลให้ผู้ที่ได้รับเชื้อเอดส์ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างแสนสาหัส ทั้งยังจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ถูกสังคมรังเกียจ ครอบครัวแตกแยก และในที่สุดก็มักจะถึงแก่ความตายอย่างทรมาน เพราะความน่ากลัวที่สุดของโรคเอดส์ก็คือ “ยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้” จะมีก็เพียง “ยาต้านไวรัสเอดส์” เท่านั้นที่จะช่วยประคับประคองและชะลอการเสียชีวิตของผู้ที่ได้รับเชื้อเอดส์ให้ยาวนานออกไประยะหนึ่งเท่านั้น
                ตอนนี้คุณคงทราบถึงภัยอันตรายของ “โรคเอดส์” แล้วนะครับ  ติดตามรายละเอียดต่อไปนะครับว่าโรคนี้มีความเป็นมาอย่างไร ติดต่อกันได้ทางใดบ้าง และจะมีวิธีระวังป้องกันอย่างไรเพื่อไม่ให้ได้รับเชื้อเอดส์
เอดส์ติดต่อกันได้ง่ายหรือไม่ ?
แหล่งข้อมูล
         เอดส์ไม่ได้ติดกันง่ายๆ อย่างที่เข้าใจกัน การเข้าไปพูดคุยกับคนที่มีเชื้อเอดส์ก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องติดเชื้อเอดส์เพราะ การจะติดเชื้อต้องขึ้นอยู่กับปริมาณไวรัสที่จะได้รับด้วย ถ้าสิ่งที่สัมผัสนั้นมีปริมาณไวรัสมาก โอกาสติดเชื้อก็มีมาก ถ้ามีไวรัสน้อยโอกาสติดเชื้อก็น้อย ปริมาณไวรัสเรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ เลือด, น้ำอสุจิ, น้ำจากช่องคลอด, บาดแผล ผิวหนังมีหน้าที่ปกป้องร่างกายไม่ให้เชื้อเข้าสู่ร่างกาย แต่ถ้าผิวหนังมีรอยแตกเป็นแผลก็มีโอกาสติดเชื้อโรคได้ ส่วนเยื่อบุต่างๆเป็นเยื่อบางๆ เช่น เยื่อบุในช่องปาก ตา ช่องคลอด มีโอกาสเป็นรอยแผลเล็กๆได้จึงต้องระมัดระวังอย่าให้น้ำหรือสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อเอดส์เข้าปากเข้าตา
        แผลจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ เช่น แผลเริม แผลริมอ่อน แผลซิฟิลิส จัดว่าเป็นแหล่งรอรับเชื้อเอดส์ได้เช่นกัน
                 น้ำนมแม่ที่มีเชื้อเอดส์สามารถแพร่เชื้อเอดส์ไปสู่ลูกได้ แม่ที่เป็นเอดส์จึงควรเลี้ยงลูกด้วยนมชง
                 อยู่ร่วมบ้านเดียวกับผู้ติดเชื้อ ถ้าไม่มีเพศสัมพันธ์กันก็ไม่ทำให้ติดเชื้อเอดส์ ถ้าเพียงแค่อยู่บ้านเดียวกัน กินข้าวด้วยกัน จับมือถูกเนื้อต้องตัวตามปกติ นอนเตียงเดียวกัน ใช้ห้องน้ำร่วมกัน ซักเสื้อผ้าร่วมกัน แค่นี้ไม่ทำให้ติดเชื้อ
          การใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้ติดเชื้อไม่เสี่ยงในการติดเชื้อ ปกติเชื้อไวรัสเอดส์เมื่อโดนน้ำอุ่นโดนสบู่จำนวนไวรัสก็จะตาย
                 น้ำลายมีเชื้อเอดส์น้อย ถ้าจะติดเชื้อต้องได้รับน้ำลายเป็นจำนวนมาก เป็นลิตรๆ แต่ยังไม่มีรายงานทางการแพทย์ว่ามีคนติดเอดส์จากน้ำลาย
                 การกินอาหารร่วมกับคนมีเชื้อเอดส์ ไม่ติดทำให้ติดเชื้อ เพราะน้ำลายมีปริมาณเชื้อน้อยมากจนไม่สามารถติดต่อกัน ยิ่งถ้าเป็นอาหารร้อนๆจะทำให้เชื้อเอดส์ตายเร็วขึ้น แม้เชื้อเอดส์จะลงสู่กระเพาะก็จะโดนกรดในกระเพาะทำลายไป ยังไม่เคยมีรายงานว่ามีคนติดเอดส์โดยวิธีนี้ (ควรใช้ช้อนกลางตักอาหาร)
                  การใช้สระว่ายน้ำร่วมกันแม้จะมีเลือด น้ำเหลือง หรือน้ำอสุจิ หรือน้ำจากช่องคลอด น้ำปัสสาวะลงไปในสระมันก็จะถูกเจือจาง ไปจนปริมาณไม่เข้มข้นพอที่จะติดต่อได้และคลอลีนในสระก็เป็นตัวฆ่าเชื้อโรคที่ดีอีกด้วย
             ยุงไม่ใช่พาหะนำเชื้อเอดส์ได้เหมือนยุงลายนำเชื้อไข้เลือดออก หรือยุงก้นปล่องนำเชื้อมาลาเรีย เชื้อเอดส์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในตัวยุงได้นานเมือยุงดูดเลือดคนที่มีเชื้อเอดส์ไปแล้วไม่นานเชื้อจะตายอยู่ในกระเพาะยุง เมื่อยุงไปกัดคนอื่นก็ไม่ติดต่อ เคยมีการศึกษา ให้ยุงไปกัดคนที่มีเชื้อเอดส์ หลังจากนั้น4 ชั่วโมงเอายุงนั้นมาฆ่าแล้วตรวจหาเชื้อเอดส์ปรากฎว่าตรวจไม่พบเชื้อเอดส์
           ใช้เสื้อผ้าร่วมกับคนมีเชื้อเอดส์ไม่ติดแน่นอน ไม่ว่าเสื้อผ้านั้นจะซักหรือไม่ซักก็ตาม เพราะเหงื่อ (หรืออาจมีน้ำลายด้วย) ไม่มีปริมาณมากพอที่จะก่อโรคได้ (แม้เรามีแผลก็ตาม) ถ้าผ่านการซักด้วยผงซักฟอกก็จะทำให้เชื้อตายได้

อ้างอิง

http://www.om4you.com/portfolio/work/aidsgig/easy_hard.htm

ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคเอดส์


เอดส์ติดต่อได้ง่ายหรือไม่? 
            ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ส่งผลกระทบต่อสังคมตั้งแต่ระดับครอบครัวจนถึงสังคมโลก ซึ่งถ้าไม่สามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ได้อย่างเด็ดขาด อาจจะทำให้เกิดความสูญเสียต่อมวลมนุษย์ชาติอย่างร้ายแรง 
      1.ผู้ที่ได้รับเชื้อเอดส์ นั้นจะไม่ภูมิต้านทานโรคที่ต่ำมากจนถึงขนาดบางคนไม่มีเลยจึงทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นได้อย่างมากมาย เช่น ปอดบวม วัณโรค มะเร็ง โรคผิวหนัง ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงต้องเสียเงินในการรักษาสุขภาพของตัวเองอย่างมาก ถ้าไม่สามารถรักษาได้โรคต่าง ๆ ก็จะรุกรามอย่างรวดเร็วเพราะภูมิต้านทานของร่างกายต่ำหรือไม่มีเลย
2.       ผู้ที่ได้รับเชื้อเอดส์ จะถูกผู้อื่นรังเกียจ ไม่ต้องการคบหาสมาคมด้วย ถึงแม้จะมีการให้ความรู้กันอย่างมากว่า โรคเอดส์ ไม่ใช่โรคที่ติดต่อกันได้ง่าย ๆ แต่คนส่วนมากก็จะรังเกียจ กลัว ไม่ต้องการให้ผู้ที่มีเชื้อเอดส์อยู่ร่วมในสังคม ซึ่งในกรณีรวมไปถึงทุกคนในครอบครัวของผู้ที่ติดเชื้อเอดส์ทุกคนก็จะพลอยถูกรังเกียจไปด้วย
3.       บางรายต้องออกจากงาน ทำให้ไม่มีรายได้ และเป็นภาระของสังคม
4.       ทำให้ครอบครัวเกิดการแตกแยก
5.       ถ้าเชื้อเอดส์ แพร่ไปยังคู่สามี – ภรรยา แล้วเสียชีวิต ลูกก็จะเป็นเด็กกำพร้าและมีปมด้อย ถูกสังคมรังเกียจ
6.       ในกรณีที่เด็กคลอดออกมาโดยติดเอดส์จากแม่ ก็จะทำให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนตามมาอย่างมากมาย เช่นถ้าต่อมาแม่เสียชีวิต เด็กก็จะไม่มีคนเลี้ยงดูและยังมีโรคร้ายติดตัว ซึ่งส่วนใหญ่ก็ทำให้เด็กมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน
7.       ผู้ป่วยโรคเอดส์ที่มีโรคแทรกซ้อนจนไม่สามารถดูแลตัวเองได้ก็จะไม่มีที่พักอาศัย ไม่มียารักษาโรค ไม่มีคนดูแล ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานและเป็นภาระกับสังคมอย่างมาก
8.       ทำให้มีพาหะนำโรคเพิ่มมากขึ้น โอกาสเสี่ยงของคนในสังคมที่จะติดเชื้อเอดส์มีมากขึ้น


อ้างอิง

http://www.om4you.com/portfolio/work/aidsgig/problem.htm